วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

เทคโนโลยี...แฝงอันตราย

เทคโนโลยี... แฝงอันตราย
สมัยนี้เทคโนโลยีดูจะเป็นสิ่งจำเป็น ในชีวิตประจำวันของชาวโลกาภิวัตน์ไปแล้ว และด้วยความสะดวกสบายนี้เอง จึงทำให้บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ ต่างหากลยุทธ์ผลิตสินค้าใช้สะดวก เพื่อตอบสนองความอยากสบายออกมาให้เห็นกันอย่างต่อเนื่อง แต่เราอย่าลืมว่า สิ่งไหนที่ให้ที่เอื้อความสะดวกสบายให้กับเรามาก สิ่งนั้นก็ย่อมจะมีพิษภัยตามมาด้วยเช่นกัน อาทิ 4 เทคโนโลยีนี้
1. คอมพิวเตอร์ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ในชีวิตประจำวันหรือแม้แต่การทำงาน ผู้ที่ทำงานออฟฟิศ บ่อยครั้งที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันละไม่ต่ำกว่า 6-8 ชม. จึงมีข้อสันนิษฐานว่า การอยู่ใกล้คอมพิวเตอร์นานขนาดนั้นจะมีผลอะไรหรือไม่ คำตอบ คือ มีผลอย่างแน่นอนในต่างประเทศพบว่า มีผู้ที่ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ถึงกับ “ช็อก” มาแล้ว สาเหตุมาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่แผ่รังสีออกมาบางคนก็ประสาทตาเสีย มีอาการปวดศีรษะปวดตา อาเจียน เพราะโมเลกุลในร่างกายเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดภาวะแรงตังผิวเพิ่มขึ้นมาก
ในประเทศออสเตรเลีย มีข่าวผ่านสื่อออกมาว่าผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ มีโอกาสเป็น “มะเร็งสมอง” เพิ่มขึ้น เพราะสนามแม่เหล็กที่ส่งผ่านออกมาจากจอมอนิเตอร์ หรือจอคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอด Cathode-rayนั่นเอง โดยมีการวิจัยชิ้นนี้ได้รับแรงสนับสนุนยืนยันจากการศึกษาวิจัยที่เรียกว่า AdelaideStudy ในเรื่อง “การได้รับสนามแม่เหล็กกับมะเร็ง” ซึ่งเจาะจงศึกษามะเร็งสมองชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “กลิโอมา”(Glioma) โดยเฉพาะนอกจากนั้น ยังพบว่าผู้หญิงมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้สูงขึ้น แต่เป็นเพียงแค่สมมติฐานหนึ่งเท่านั้น เพราะจากการวิจัยพบว่า ยังมีส่วนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องหลายอย่าง ที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดหมาย จึงไม่สามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจ มีการวิจัยมากกว่า30 ชิ้น ที่รายงานผลการศึกษาในผู้ใหญ่
ที่ทำงานในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กสูง พบว่าเป็น มะเร็งหลายชนิด (ที่พบบ่อย คือ มะเร็งในเม็ดโลหิต มะเร็งสมอง มะเร็งทรวงอก) และรังสีของเครื่องคอมพิวเตอร์มีผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายคนเรา เช่น หญิงที่นั่งทำงานอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกวัน โอกาสตั้งครรภ์จะน้อย เด็กและหญิงมีครรภ์ ไม่ควรอยู่ใกล้เครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะอันตรายจากรังสีคอมพิวเตอร์มีอยู่มากมาย เช่น คลื่นรังสีจากคอมพิวเตอร์ ทำให้เซลล์ที่ควบคุมแคลเซียมของร่างกายทำงานเร็วขึ้น ทำให้ง่ายต่อการเป็นมะเร็ง รังสีจากคอมพิวเตอร์และมอนิเตอร์ และ Accessories ต่างๆมีผลให้เด็กในครรภ์ผิดปกติ แท้ง หรืออาจจะคลอดก่อนกำหนด รังสีจากคอมพิวเตอร์และมอนิเตอร์ ทำให้เยื่อจมูกอักเสบ ปวดศีรษะนอนไม่หลับ หายใจไม่สะดวก ฯลฯ
2. ไมโครเวฟข้อมูลจากหนังสือ “การก่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บและการป้องกัน” เขียนโดย ดร.หงซานเปิ่นศาสตราจารย์ด้านโภชนาการ มหาวิทยาลัยสิงคโปร์กล่าวถึงผลร้ายที่เกิดจากไมโครเวฟว่า ในประเทศรัสเซียเยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ ค้นพบว่า คลื่นไมโครเวฟจะทำให้สมองเสื่อม ความยาวของคลื่นสมองสั้นลง และบนฉลากขวดนมสำหรับเลี้ยงทารก มีการระบุอย่างชัดเจนว่า ห้ามใช้เตาไมโครเวฟต้มน้ำให้เดือด เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟ จะไปทำลายสารอาหารที่มีประโยชน์ในนมเสียหมด
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเรื่อง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน โดย ศ.น.พ.สุรพล อิสรไกรศีล สาขาวิชาโลหิตวิทยาภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช พบว่า การสัมผัสหรือเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ภายในบ้านเรือนที่มีคลื่นแม่เหล็ก เช่นการใช้เครื่องเป่าผม คอมพิวเตอร์โทรศัพท์มือถือ เตาไมโครเวฟและการอาศัยอยู่ใกล้บริเวณที่มีสายไฟฟ้าแรงสูง จะทำให้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด AML ส่วนปัจจัยอื่นๆ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยยะสำคัญ
3. โทรศัพท์มือถือในต่างประเทศมีรายงานผลทางวิทยาศาสตร์และการวิจัย ออกมาอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือ เนื่องจากโทรศัพท์มือถือสามารถแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาได้ และเป็นรังสีชนิดเดียวกับเตาไมโครเวฟ ซึ่งเป็นคลื่นความร้อนทำลายเซลล์ดีหลายชนิด เพียงแต่มีปริมาณรังสีที่น้อยกว่าเตาไมโครเวฟเท่านั้นผล
จากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า รังสีไมโครเวฟสามารถทำลายเซลล์ประสาทและเซลล์ตัวอ่อน ที่อยู่ในครรภ์มารดา ทำให้เป็น “โรคต้อกระจก” เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของโลหิต และยังเป็นสาเหตุของความอ่อนแอ ในระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วยหน่วยงานวิจัยเทคโนโลยีของโทรศัพท์ไร้สาย หรือ “WTR” (Wireless Technology Research) ได้ทำการศึกษาผลข้างเคียงจากการใช้โทรศัพท์มือถือมานานร่วม 7 ปี ก่อนจะมีรายงานสรุปผลออกมาสู่สาธารณชนว่า รังสีไมโครเวฟที่แพร่ออกมาจากเครื่องโทรศัพท์มือถือนั้น มีฤทธิ์ทำลายสารพันธุกรรมในเม็ดเลือด แต่สิ่งที่น่ากลัว ไม่ใช่ระดับความถี่ของรังสีไมโครเวฟ แต่เป็นช่วงระยะเวลาของการใช้งาน ดังนั้น ผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือคุยต่อเนื่องกันนานๆ มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโรคเนื้องอกในสมองชนิดหนึ่ง เรียกกันทางการแพทย์ว่า “Neuroepithelial Tumors” และดร.เล็นนาร์ท ฮาร์เดลล์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งจากสวีเดน กล่าวว่า มีข้อบ่งชี้ทางชีววิทยาว่า รังสีไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือ มีความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกในสมองสูงถึง 2.5 เท่า
4. เครื่องถ่ายเอกสารเครื่องถ่ายเอกสารเป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่ง ที่พนักงานออฟฟิศจะต้องสัมผัสอยู่บ่อยครั้ง คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์กิจกรรม 5 ส. กองทัพเรือ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เครื่องถ่ายเอกสารเป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพผู้ใช้โดยไม่รู้ตัวจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามและเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ให้มากขึ้น อันตรายที่เราจะได้รับจากเครื่องถ่ายเอกสารมีดังนี้
1. ก๊าซโอโซน เกิดจากการอัดและปล่อยประจุไฟฟ้าที่ลูกกลิ้งและกระดาษโอโซน บางส่วนเกิดจากการปล่อยแสงเหนือม่วง (UV)จากหลอดไฟฟ้าพลังงานสูงของเครื่องถ่ายเอกสาร ส่งผลให้เกิดความระคายเคืองต่อตา จมูก และคอ ทำให้หายใจสั้น วิงเวียน และปวดศีรษะเป็นสาเหตุของความล้าและการสูญเสียประสาทรับรู้กลิ่นด้วย คนที่มีโรคระบบทางเดินหายใจอยู่แู่ล้ว เช่น โรคหอบหืดไม่ควรสัมผัสกับโอโซน
2. ฝุ่นผงหมึก เครื่องถ่ายเอกสารระบบแห้ง ประกอบด้วยผงคาร์บอนผสมกับพลาสติกเรซิน ส่วนเครื่องถ่ายเอกสารระบบเปียกผงหมึก จะละลายในสารละลายอินทรีย์พวกปิโตรเลียม ซึ่งมีอันตรายจากส่วนประกอบที่เป็นสารเคมีทั้งสิ้น การหายใจเอาผงหมึกเข้าไปจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจ มีอาการไอและจามนอกจากนี้ สารไนโตรไพรินซึ่งพบในผงคาร์บอนดำ และไตรไนโตรฟูโอรีน (TNF) ก็เป็นที่เข้าใจกันว่า เป็นสารก่อมะเร็ง และเป็นสารที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม หรือมีผลทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์อีกด้วย
3. แสงเหนือม่วง (รังสียูวี) รังสีจะแผ่ออกมาจากหลอดไฟพลังงานสูงภายในเครื่อง ขณะที่มีการถ่ายเอกสาร ทำให้เกิดการอักเสบของกระจกตาและมีผื่นคันตามผิวหนัง แต่มีผลน้อยมาก
4. สารละลายอินทรีย์จำพวกปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน เป็นตัวทำละลายในผงหมึกของเครื่องถ่ายเอกสารระบบเปียกทำให้เกิดการระคายเคืองตา ผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจเกิดอาการแพ้และเป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง
5. สารเคมีอื่นๆ เช่น ซีลีเนียม แคดเมียมซัลไฟด์ซิงค์ออกไซด์ และโพลิเมอร์ ซึ่งถูกเคลือบไว้ที่ลูกกลิ้งมีลักษณะเป็นสารนำแสง ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจส่วนต้น ตา และชั้นเยื่อเมือกของกระเพาะอาหาร ตลอดจนเป็นสารก่อมะเร็ง แต่สารเหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาในปริมาณน้อยมาก เกินกว่าที่จะตรวจสอบได้
สรุปคืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดอื่นๆสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้การเพิ่มความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตประจำวัน รวมถึงรู้จักใช้อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างชาญฉลาด จะช่วยให้เราได้รับความปลอดภัยและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างสูงสุด

เทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต

เทคโนโลยีสาระสนเทศกับแนวโน้มของโลกในอนาคต
แต่ก่อนนี้หนังสือเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารและความรู้ที่สำคัญ การสื่อสารถึงกันก็ใช้การส่งจดหมายที่เขียนหรือพิมพ์ลงบนกระดาษ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถค้นคว้าข้อมูล ข่าวสารและความรู้ รวมทั้งทำให้เราสามารถสื่อสารถึงกันได้อีกทางหนึ่ง เรียกว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ”
เทคโนโลยี หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การศึกษาพัฒนาองค์ความรู้ต่าง ๆ ก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของสิ่งต่าง ๆ และหาทางนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ เทคโนโลยีจึงเป็นค้าที่มีความหมายกว้างไกล เป็นคำที่เราได้พบเห็นและได้ยินอยู่ตลอดมา
สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่ได้รับการประมวลด้วยวิธีต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายต่อผู้รับ
เมื่อรวมคำว่าเทคโนโลยีกับสารสนเทศเข้าด้วยกัน จึงหมายถึงเทคโนโลยีที่ใช้จัดการสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การรวบรวมการจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล การพิมพ์ การสร้างรายงาน การสื่อสารข้อมูล ฯลฯ เทคโนโลยีสารสนเทศจะรวมไปถึงเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดระบบการให้บริการ การใช้ และการดูแลข้อมูล
เทคโนโลยีสารสนเทศกับแนวโน้มของโลกในอนาคตนั้น ข้าพเจ้าคิดว่า ปัจจุบันนี้ มนุษย์ต่างก็ต้องการความสะดวกรวดเร็วซึ่งจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีสารสนเทศมาเกี่ยวข้อง เช่น การค้นคว้าข้อมูล ข่าวสารความรู้จากซีดีรอมและเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งเครือข่ายอินเตอร์เน็ตก็คือ ระบบการเชื่อมโยงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลกันโดยไม่จำกัดระยะทาง เราจึงอาจใช้เครืองข่ายอินเตอร์เน็ตแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้โดยไม่มีขอบเขต อีกทั้งอินเตอร์เน็ตยังเป็นเครือข่ายข้อมูลข่าวสารและความรู้ที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย,การสื่อสารโดยอาศัยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า e-mail เป็นจดหมายที่ส่งและรับผ่านเครือข่ายการสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ อีเมลล์ส่วนมากจะส่งผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จึงประหยัดเวลา และค่าใช้จ่าย,แผ่นป้ายอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า webboard หมายถึงพื้นที่สำหรับให้สมาชิกในเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์สามารถตั้งกระทู้ แสดงความคิดเห็น หรือแจ้งข่าวสารแก่เพื่อนสมาชิกคนอื่นๆที่เข้ามาอ่านได้,ห้องคุยอิเล็กทรอนิกส์ หรือ chat room (ห้องสนทนา) หมายถึงสถานที่ในเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการสามารถคุยกันโดยวิธีการพิมพ์ข้อความ ชื่อของผู้พิมพ์ข้อความที่พิมพ์ลงไปจะไปปรากฎบนจอภาพของผู้ที่กำลังคุยกันในห้องคุยนั้น ... จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นมีประโยชน์หลายด้าน ทั้งด้าน ความรู้ ข่าวสาร บันเทิง กีฬา เป็นต้น แต่ในทางกลับกันถ้าหากว่าเราใช้ไม่ระวังก็จะก่อให้เกิดโทษได้เช่นเดียวกัน ดังข่าวที่พบเจอกันอยู่บ่อยๆ เช่น การถูกล่อลวง การพนันทางอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
ในอานาคตนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศจะต้องเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญของมนุษย์ อย่างปฏิเสธไม่ได้แน่นอน มนุษย์มรการพัฒนาและแก้ไขจุดบกพร่องอยู่เรื่อยๆ จึงมำให้เทคโนโลยีสารสนเทศมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ต่อไปอาจจะมีหุ่นยนต์ประจำบ้าน หรือบ้านพกพาพับได้ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นดืทั้งกล้องดิจิตอล mp3 และยังสามารถเล่นอินเตอร์เน็ตในตัวได้ นับว่าเป็นที่น่าสนใจยิ่ง
เทคโยโลยีสารสนเทศมีประโยชน์มากมายและในทางกลับกันยังก่อให้เกิดโทษกับตัวเราได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ก่อนใช้ควรคำนึงถึงประโยชน์และความจำเป็นให้มากกว่าที่ใช้เล่นเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว

เทคโนโลยี ภัยร้ายของวัฒนธรรม

เทคโนโลยี :ภัยร้ายของวัฒนธรรม

เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวก ความก้าวหน้าทุก ๆด้านแต่ก็นำมาซึ่งสิ่งหนึ่งนั่นคือ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป รวมทั้งค่านิยมดั้งเดิมของสังคม วัฒนธรรมประเพณี ที่ถูกบิดเบือนหรือลดคุณค่า
ข้าพเจ้าเกิดมา ณ หมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา ที่แวดล้อมไปด้วยป่าไม้ และแมกไม้นานาพันธุ์ สิ่งอำนวยความสะดวกแทบไม่มี ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีเกือบตลอดทั้งปี วิถีชีวิตจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ตื่นเช้ามา ได้ยินเสียงไก่ขัน เสียงนกน้อยร้อง เสียงสัตว์เลี้ยง เสียงม้า เสียงคน ดังเจี๊ยวจ๊าว.. แสงอาทิตย์ส่องผ่านยอดไม้ ดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง สายลมเย็น ๆ พัดผ่านมา ผู้คนมากมายต่างไปทำหน้าที่ของตนตามวิถีชีวิตในแต่ละวัน พอพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ผู้คนต่างหลั่งไหลจากเส้นทางทุกสาย มุ่งเข้ากลับหมู่บ้าน ช่างเป็นภาพที่งดงามจริง ๆ พอตกดึก มีเพียงแสงสว่างจากตะเกียงใบน้อย ๆ ที่ส่องสว่างอย่างรีบหรี่ พอมองเห็นทางเดินและหน้าคนแทบมองไม่รู้ ว่าใครเป็นใคร และแล้วเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ทุกบ้านต่างดับไฟ เสียงคนที่เคยคุยกัน ก็ดับไปพร้อมกับแสงตะเกียงที่ส่องสว่าง
สังคมบ้านนอก ที่อยู่สุดปลายดอย ทุกคนต่างมีน้ำใจ แบ่งปันซึ่งกันและกัน ความวุ่นวายแทบไม่มีให้เห็น ผู้คนทุกคนต่างมีรอยยิ้ม หน้าตาสดชื่น การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นไม่มี มีแต่ความรักความอบอุ่น ไม่เคยกังวลในเรื่องการทำมาหากิน การกินการอยู่ เป็นแบบพอเพียง เงินไม่มี ก็อยู่ได้โดยอาศัยธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ข้าง ถึงเวลาเทศกาล ทุกคนต่างไปร่วมด้วยความพร้อมเพรียงกัน ไม่มีการประกาศ ไม่มีการชักชวน แต่เป็นอันที่รู้กันว่า เวลาใด คือเวลาที่จะไปรวมตัว ทำกิจกรรมด้วยกัน
และแล้วในวันหนึ่ง ก็มีรถอะไรก็ไม่รู้ ที่ใหญ่โตมากๆ ที่คอยไถถนน และรถอะไรก็ไม่รู้ ที่คอมันยาว ๆ คอยตักดินโค่นต้นไม้ทุกต้นที่มันเดินผ่าน (ตอนหลังจึงรู้ว่า มันคือรถไถและรถแบ็กโคร์) ตัดถนนลาดยางเข้ามาในหมู่บ้าน และสิ่งหนึ่งที่ตามมาก็คือเสาไฟฟ้า และแสงสว่างที่ส่องสว่างมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ณ กลางป่าแห่งนี้
และสิ่งที่ตามมาก็คือทีวี รถยนต์ และรถเครื่อง เด็ก ๆ ที่เติบโตมาในยุคของการมีถนนและไฟฟ้า ได้รับพฤติกรรมที่แปลกๆ ไม่เหมือนรุ่นที่ก่อนหน้านั้น สำหรับข้าพเจ้า ตอนสมัยเด็ก ๆ ตกเย็นมา ก็จะรวมตัวกับน้อง ๆ ไปขอให้คุณพ่อเล่านิทาน นอนฟังคุณพ่อเล่านิทานจนหลับไป พอสะดุ้งอีกทีก็เช้าแล้ว แต่เด็ก ๆ ทุกวันนี้ ตกเย็น กลับนั่งอยู่แต่ที่หน้าจอทีวี ดูละคร ได้ดูอะไรต่อมิอะไรที่เมื่อก่อนข้าพเจ้าไม่เคยได้ดู
และแล้วในวันนี้ หมู่บ้านที่เคยสงบ กลับกลายมาเป็นหมู่บ้านที่คึกคักไปด้วยผู้คน และสิ่งอำนวยความสะดวก ตื่นเช้ามา ได้ยินแต่เสียงรถดังกระหึ่ม ได้ยินแต่เสียงโรงสีข้าว ได้ยินแต่เสียงเพลงดังแทบทุกบ้าน วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป และสิ่งที่ตามมาคือ พอตกกลางคืน ก็จะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง นั่นคือวัยรุ่นในหมู่บ้านนั่นเอง ที่ออกมารวมตัวกัน บิดรถไปตามถนนรอบ ๆ อยู่บ้าน ตั้งวงกินเหล้าเสียงดังโวยวายไปทั่ว ตั้งแก็งค์ทำร้ายคนที่เดินผ่านไปมา ความปลอดภัยในชีวิตของบ้านนอก แทบไม่เหลืออีกเลย
นี่แหละสิ่งที่ตามมากับเทคโนโลยี เด็ก ๆ และวัยรุ่นเหล่านี้ ได้รับเอาพฤติกรรมจากสิ่งต่าง ๆ ทั้งในทีวี และในภาพยนตร์ ที่โหดร้าย ไม่มีจริยธรรม
จากที่กล่าวมา คือสิ่งที่บอกเล่า ถึงเหตุการณ์น้อย ๆ ที่ผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตของข้าพเจ้า ที่ได้ประสบพบเจอ ในตอนแรก ๆ ก็ไม่เข้าใจอะไรมากนักว่า มันเกิดจากอะไร และแล้วในวันหนึ่ง ก็ได้มาศึกษาหาความรู้ จึงรู้ว่า นี่แหละ เกิดจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี แต่คุณธรรมและวัฒนธรรมของสังคม กลับถดถอย

สิรวิชญ์ ปัตติธรรม
20 ก.ย. 51

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551

กล้อง G9




กล้อง Canon PowerShot G9

กล้องดิจิตอล Canon PowerShot G9 ความละเอียด 12.1 ล้านพิกเซลได้มีการเปิดตัวเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2550และในต่างประเทศ เช่นอเมริกา ยุโรป และ ออสเตรเลีย ก็เริ่มมีขายตั้งแต่เดือนกันยายน 2550 เป็นต้นมา แม้ว่าในระยะเวลาใกล้ๆกัน จะมีการเปิดตัวกล้องขนาดเล็ก แบบที่เรียกว่า Point & Shoot หลายยี่ห้อแล้วก็ตาม แต่กล้อง Canon G9นี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากผู้ที่เป็นทั้งมือกล้องอาชีพและสมัครเล่น




ความละเอียด 12.1 ล้านพิกเซลใช้เซนเซอร์ขนาด 1/1.7" ถ่ายภาพใน RAW mode ได้เลนส์ 35-200 มม.(35 mm equivalent) F 2.8-4.8 ซูมได้ 6XISO : Auto, 80,100,200,400,800,1600Shutter Speed : 15-1/2500 secMacro Focus : ต่ำสุด 1 ซ.ม.จอ LCD ขนาด 3" ความละเอียด 230,000 พิกเซลขนาดภาพ : 4000x3000, 3264x2448, 2592x19441600x1200, 640x480, และ 4000x2248การถ่าย Movies / Video สามารถทำได้ ขนาด 106.4 x 71.9 x 42.5 มม. น้ำหนัก 320 กรัม

เป็นกล้องแบบ Point & Shoot ที่มีขนาดเล็ก แต่หนาพอควรและมีความแข็งแรง มีปุ่มต่างๆแบบกล้องรุ่นเก่าที่สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เช่นการเลือกตั้งค่า ISO การปรับค่า EV เป็นต้นนอกจากนั้น การปรับตั้งค่าต่างๆทำได้ง่ายโดยปุ่ม Menu และ Function Set
. จอ LCD มีขนาดใหญ่ 3" ชัดเจน และมองเอียงๆได้ สามารถให้แสดงเส้นแบ่ง (Grid Line) ที่เป็นไปตามกฎ Rule of the Thirds ซึ่งช่วยในการวางภาพ และรักษาระดับภาพได้ดี
การทดลองถ่ายภาพแบบมาโคร ได้ผลดี ภาพมีความชัดเจนและมีรายละเอียดดี สีสวยและหากต้องการให้สีเข้มก็อาจจใช้ Mode Vivid แทน Normal ภาพมาโครที่ถ่ายโดยใช้ Mode P ให้ Depth of Field ที่ดูดี คล้ายกับการถ่ายภาพโดยกล้อง แบบ SLR (Single Lens Reflect)
เนื่องจากเลนส์ของกล้องนี้คือ 35 - 200 มม.(เทียบกับกล้องฟิล์ม 35 มม.) ดังนั้น การถ่ายภาพ จึงได้มุมไม่กว้างนัก แต่ก็พอใช้ได้ หากต้องการภาพมุมกว้างขึ้นก็มีเลนส์มุมกว้างที่นำมาใช้ต่อกับกล้องนี้ได้โดยต้องมี Adapter ด้วย ซึ่งใครสนใจ ก็จะต้องหาซื้อต่างหาก(ในสหรัฐอเมริกา ราคาทั้งชุด 175 เหรียญ) แต่เลนส์มุมกว้าง WC-DC58B มีขนาดใหญ่มาก เมื่อเทียบกับตัวกล้อง แต่คุณภาพดี
แฟลชที่ติดมากับกล้องนั้น ใช้งานได้ดีพอควร แต่ถ้าต้องการไฟแฟลชที่แรงขึ้น หรือถ้าใช้เลนส์มุมกว้าง ก็ควรจะต้องใช้แฟลชติดภายนอก และรุ่นที่เล็กๆของแคนนอน คือรุ่น 220EX Speedlite
การใช้กล้องนี้ถ่ายวิดีโอนั้น ตั้งความละเอียดได้ 3แบบ คือแบบ Hi-Resolution (1024x768 pixels)แบบ Standard (640x480 และ 320x240) และแบบCompact (160x120) จากการทดลองถ่ายโดยใช้ 640x480 pixels และ 30 fps ได้ผลดีพอสมควรและซูมภาพได้ด้วย โดยการซูมนั้นเป็นแบบ DigitalZoom ซึ่งถ้าซูมมากๆภาพจะมีคุณภาพด้อยลง และที่ 1024x768 pixels นั้น ซูมภาพเข้า - ออก ไม่ได้




หมายเหตุ :

กล้อง Canon G9 เป็นกล้องที่มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดเล็ก ถ้าใช้งานทั่วไป แค่ตัวกล้องก็เพียงพอ พกไปได้สะดวก แต่ถ้าอยากจะลองเล่นให้ลึกลงไปอีก ก็ควรจะต้องมีเลนส์มุมกว้างพร้อมอะแดปเตอร์ และเพิ่มแฟลชให้ครบไปเลย มองดูเหมือนกล้อง SLR สมัยก่อนที่มีขนาดเล็กแต่มองดูน่าเลื่อมใสดี สำหรับการซูมภาพนั้น G9 ซูมได้ 6X ซึ่งเทียบเท่า 200 มม. เมื่อเทียบกับกล้องฟิล์ม 35 มม.สมัยก่อน ซึ่งโดยทั่วๆไปก็นับว่าเพียงพอ แต่ถ้าต้องการซูมมากเข้ามาอีก ก็ทำได้โดยเป็นการซูมภาพแบบ Digital Zoom ซึ่งได้ทดลองดู โดยเทียบกับเลนส์ซูม 12X (จากกล้องอื่น เป็นของเก่าๆ) ผลก็คือ Digital Zoom ก็พอใช้ได้ ถ้าไม่เอาคุณภาพสูงมากนัก

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

เลือกเครื่องพิมพ์ตามความจำเป็น !!!



เครื่องพิมพ์ (Printer) คือ อุปกรณ์ที่ต่อพ่วงกับคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่พิมพ์แฟ้มดิจิทอล (Soft Copy) ออกมาเป็นเอกสารในรูปกระดาษ (Hard Copy) แฟ้มดิจิทอลที่อยู่ในคอมพิวเตอร์อาจเป็นภาพ ตัวอักษร และมีสีที่แตกต่างกัน เครื่องพิมพ์ที่น่าใช้มีให้เลือกมากมายด้วยคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นกว่าในอดีตที่ใช้เพื่องานพิมพ์เท่านั้น เช่น คัดลอกเอกสารหรือเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร แปลงข้อมูลจากเอกสารเป็นแฟ้มดิจิทอล พิมพ์เอกสารจากแฟ้มดิจิทอล เป็นเครื่องโทรสาร และโทรศัพท์ในเครื่องเดียวกัน เครื่องพิมพ์ที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันมี 4 รุ่นคือ ด็อทเมทริกซ์ (Dotmatrix) อิงค์เจ็ท (Inkjet) เลเซอร์ (Laser) โซลิดอิงค์ (Solid Ink) สำหรับรุ่นที่มียอดขายสูงสุดคือ อิงค์เจ็ท ส่วนเครื่องพิมพ์เลเซอร์เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ หรือต้องการคุณภาพของงานพิมพ์สูง


หมึกพิมพ์ของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทใช้น้ำหมึก เมื่อเปิดฝาครอบเครื่องพิมพ์จะพบตลับหมึกที่เป็นน้ำ สำหรับการพิมพ์ลงกระดาษใช้วิธีฉีดหยดหมึกบนตำแหน่งที่ต้องการ การเติมน้ำหมึกทำได้ง่ายโดยซื้ออุปกรณ์ไปทำเองที่บ้าน มีบริการเติมน้ำหมึกฟรีในงานไอทีแฟร์ หรือนิทรรศการด้านไอทีอยู่บ่อยครั้ง หมึกของเครื่องพิมพ์ด็อทเมทริกซ์ มีลักษณะเป็นแถบผ้าริบบิ้น เมื่อหมึกหมดจะต้องเปลี่ยนแถบริบบิ้นใหม่ เครื่องพิมพ์แบบนี้นิยมใช้กับเอกสารสีเดียว การพิมพ์ถูกกระทำโดยใช้เข็มตอกไปบนแถบผ้าริบบิ้นจนไปกระทบกระดาษให้เกิดรอยตามต้องการ ดังที่เราทราบว่าเส้นสายลายภาพ หรืออักษรล้วนเกิดจากองค์ประกอบของจุดเล็กมากมายมารวมกัน
เครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ทราคาลดลงมาก บางรุ่นราคาไม่ถึง 3,000 บาท แต่อาจมีปัญหากวนใจตามมา เช่น ราคาหมึกสูงเมื่อเปรียบเทียบกับราคาเครื่องพิมพ์ ถ้าปล่อยเครื่องทิ้งไว้ไม่ใช้อย่างสม่ำเสมออาจพบปัญหาหัวฉีดหมึกตัน และไม่คุ้มที่จะซ่อม กระดาษที่ใช้พิมพ์ภาพถ่ายต้องเป็นกระดาษพิเศษที่มีราคาสูง และอาจได้คุณภาพของภาพด้อยกว่าที่อัดจากร้านรับอัดรูปดิจิทอล (Digital Studio) เป็นต้น

เครื่องพิมพ์ด็อทเมทริกซ์มีหัวพิมพ์เป็นเข็ม เหมาะกับงานพิมพ์บางลักษณะที่ต้องการแรงตอกของเข็มไปลงบนกระดาษคาร์บอน (Carbon Paper) เพื่อให้การพิมพ์ครั้งเดียวได้สำเนาเอกสารหลายแผ่น และมีเดือยที่ใช้กับกระดาษต่อเนื่อง (Continuous Paper) สามารถพบเครื่องพิมพ์แบบนี้ได้ในธนาคาร สถาบันการศึกษา ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น หมึกที่ใช้มักเป็นแถบผ้าริบบิ้นที่ใช้ได้นานแม้หมึกจะจางไปบ้างก็ยังใช้ได้ ต่างกับหมึกของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท และเครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่ไม่สามารถใช้งานได้ ถ้าหมึกจางลงแล้ว
สิ่งที่สำคัญข้อแรกในการเลือกซื้อเครื่องพิมพ์ของผู้ใช้ตามบ้าน มิใช่การเลือกรุ่นแต่เป็นการพิจารณาความคุ้มค่าในการมีใช้ที่บ้าน เพราะผู้คนมากมายรู้ว่ามีคอมพิวเตอร์ที่บ้านเพื่อเป้าหมายใด ต่างกับการมีเครื่องพิมพ์ที่มักได้มาในฐานะของแถม หรือเห่อตามแฟชั่น โดยปกติกลุ่มพนักงานองค์กรที่นำงานมาทำที่บ้านมักนำแฟ้มกลับไปพิมพ์ที่สำนักงาน และใช้เครื่องพิมพ์ของส่วนกลางร่วมกับเพื่อนร่วมงาน บางสำนักงานมีเครื่องพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพเพียงเครื่องเดียว แต่แบ่งกันใช้ทั้งสำนักงาน และได้รับการดูแลให้ใช้งานอย่างคุ้มค่า ผู้ใช้ตามบ้านบางท่านมีเครื่องพิมพ์เหมือนมีเฟอร์นิเจอร์ ตั้งทิ้งไว้ หรือใช้ไม่บ่อย เพราะไม่มีอาชีพเป็นนักเขียน ไม่เปิดร้านรับอัดรูป ไม่จ้างรับส่งแฟ็กซ์ ไม่รับพิมพ์งาน และไม่อนุญาตให้เพื่อนมาใช้ เป็นต้น ถ้าคิดจะซื้อเครื่องพิมพ์เครื่องใหม่ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณก่อนตัดสินใจ ว่าซื้อมาแล้วจะใช้อย่างคุ้มค่าหรือไม่

Digital Dictionary


สืบเนื่องจากฉันเรียน คณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชาภาษาอังกฤษ เทคโนโลยีที่ใกล้ตัวและมีความจำเป้นต่อชีวิตประจำวันของฉันเป็นอย่างมากคือ Digital Dictionary ดังนั้นฉันจึงอยากจะกล่าวถึงคุณสมบัติต่างๆที่มีอยู่ใน Digital Dictionary ดังต่อไปนี้



1.พจนานุกรมอังกฤษ - ไทย ของ Talking-Dict เป็นการรวบรวมคำศัพท์จากพจนานุกรมต่างประเทศหลายเล่ม ได้แก่ Oxford, Collins, Longman และ Webster โดยได้รับเกียรติการแปลจากคณาจารย์ศูนย์การแปลและการล่ามเฉลิมพระเกียรติ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ซึ่งทำงานเป็นคณะไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์ทั่วไป, คำศัพท์ที่ใช้งานบ่อย, คำที่มักใช้สับสน,คำศัพท์เฉพาะด้าน, รวมถึงไวยากรณ์การใช้ จะถูกบรรจุไว้อย่างครบถ้วน



2. พจนานุกรมไทย - อังกฤษ ภายใน Talking-Dict ยังรวบรวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากพจนานุกรมต่างๆมากมาย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยพิมพ์อักษรภาษาไทยลงไป

3. นอกจากจะสามารถหาคำศัพท์และความหมายต่างๆภายใร Talking-Dict คุณสมบัติที่เครื่องต่างๆสามารถทำงานได้ คือ การออกเสียงคำ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถออกเสียงและสะกดคำได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น


4. Talking-Dict ในรุ่นใหม่ๆ จะมีคุณสมบัติในการฟังMp3, ดูหนัง และ การแสดงผลทางหน้าจอยังคงเป็นภาพสี

5. โปรแกรมเสริมอื่นๆนอกจากนี้ที่ฉันยังคงใช้งานเป็นประจำ คือ Games ภายในเครื่องมีเกมส์ต่างๆมากมายให้ผ่อนคลายสมอง

คุณสมบัติต่างๆที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่มีอยู่ใน Digital Dictionary และฉันได้ใช้งานอยู่เป็นประจำ แทบจะกล่าวว่าทุกวันก็ว่าได้ จะเห็นได้ว่า Talking-Dict เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ให้คุณประโยชน์แก่ผู้ใช้เป้นอย่างมาเลยทีเดียว




วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

Power brush Vs Me


ในทุกๆวัน คนเราต้องแปรงฟันกันวันละ2ครั้งอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าฉันจะกล่าวถึงแปรงสีฟันก็คงจะเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคน แต่ครอบครัวของฉันนั้นใช้แปรงสีฟันไฟฟ้ากันทั้งครอบครัว เนื่องจากแม่ของฉันได้เคยอ่านหนังสือพบว่ามีแปรงสีฟันที่ใช้ไฟฟ้าในการแปรง ก็เกิดความสนใจขึ้นแต่ด้วยเมื่อสมัยก่อนนั้นปรงสีฟันแบบนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักจึงมีราคาแพงพอมควร แต่แล้วแม่ก็ไปลองซื้อมาใช้ หลังจากใช้แล้วก็พบว่าให้ผลดีมาก แม่จึงจัดการให้เรางครอบครัวใช้แปรงสีฟันไฟฟ้า การใช้แปรงฟันไฟฟ้านั้นไม่ได้หมายความว่าคนใช้ขี้เกียจแปรงเอง หรือขี้เกียจขยับมือ แต่แปรงฟันไฟฟ้าให้ผลที่แปรงฟันธรรมดาให้ไม่ได้ ตอนแรกๆนั้นฉันไม่ค่อยจะชอบใจซักเท่าไหร่ เพราะในการแปรงแต่ละทีจะต้องแปรงประมาน 3 นาทีต่อการแปรงหนึ่งครั้ง ดังนั้นฉันก็จะไม่ค่อยรอให้มันครบตามกำหนดเวลาซักเท่าไหร่ ก็จะกดปิดก่อนเสมอ แต่เมื่อนานๆไป แม่ก็ทราบว่าฉันไม่แปรงตามเวลาที่กำหนด แม่ก็เตือนว่าให้แปรงให้ครบ แล้วสุขภาพเหงือกและฟันของเราก็จะดี ฉันก็เชื่อแม่และทำตามนั้นตลอดมา การใช้แปรงฟันไฟฟ้านั้น สามารถกำจัดคราบต่างๆ และทำความสะอาดฟันได้ดีกว่าแปรงฟันแบบธรรมดา จากประสบการณ์ตรงเมื่อฉันใช้มาเป็นเวลามากกว่า5ปีแล้ว และก็ยังมีนักวิจัยออกมาเปิดเผยว่า แปรงสีฟันไฟฟ้าสามารถขจัดคราบหินปูนและช่วยความเสี่ยงการเป็นโรคเหงือกอักเสบได้ดีกว่าแปรงฟันธรรมดา และถ้ายิ่งใช้นานก็จะยิ่งเห็นผลมากขึ้น นั่นก็เป็นเพราะหัวแปรงกลมที่สั่นและหมุนได้รอบช่วยขจัดคราบหินปูนและป้องกันโรคเหงือกอักเสบได้ดีกว่าหัวแปรงธรรมดา ไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาว และสมาคมทันตกรรมยังแนะนำว่า ควรใช้แปรงสีฟันหัวเล็ก เพราะมันจะเข้าถึงทุกส่วนในช่องปากได้ดีกว่าและเข้าไปในซอกมุมที่จะมีเศษอาหารและคราบหินปูนเกาะ นอกจากนี้การแปรงในลักษณะวนไปมาเป็นวงกลมเป็นการแปรงฟันที่ดีที่สุด นี่คงะเป็นข้อยืนยันได้ว่าการใช้แปรงสีฟันไฟฟ้านั้นมีประสิทธิภาพและให้ผลดีต่อสุขภาพเหงือกและฟันของผู้ใช้จริง และตัวฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าไปขูดหินปูนครั้งล่าสุดนั้นมันนานมากแค่ไหนแล้ว